ที่ไหนเล่าจะดีเท่าบ้าน
ผมลืมบ้านหลังนี้ไปเสียนาน บ้านที่คุ้นเคย เพื่อนบ้านที่คุ้นเคย ช่วงที่ผมหายไปหลายคนคงคิดว่าผมย้ายไปอยู่ที่อื่น ย้ายไปเงียบเงียบ ไปอยู่ที่อื่นอย่างเงียบเงียบ ละเลยการติดต่อกับคนอื่นไปอย่างเงียบเงียบ วันนี้ก็กลับมาเงียบเงียบ ได้เห็นร่องรอยของหลายคนที่ทิ้งไว้อย่างเงียบเงียบ
ซึ่งผมเองก็คงทำได้เพียงขอบคุณอย่างเงียบเงียบ
ขอบคุณครับ
กลับมาแจ้งข่าว
ขณะนี้ผมกำลังยุ่งยากใจกับปัญหาส่วนตัวนิดหน่อยจึงต้องห่างหายไปชั่วคราวขอได้รับความขอบคุณอนารยชนโรแมนติกป.ล.สามารถติดตามการฝึกฝนการรับมือกับสติที่สับสนของตัวผมได้ที่ http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=stillstranger&group=1
คำถามเอาจริง
หลายวันมานี้ผมไปดูการแสดงปัญญาถกเถียงกันในเรื่องของการเมืองที่blogของอาจารย์หลายๆคน ได้เห็นทั้งปัญญาและอวิชชา ความหยาบช้าและความสุภาพ ได้ครบรสครับทั้งเมามัน ชื่นชม เห็นด้วย ไม่เห็นด้วย
และเมื่อแนะนำให้เพื่อนพ้องน้องพี่ไปติดตามก็ได้รับความคิดเห็นหลายแบบ จนเป็นประเด็นให้แลกเปลี่ยนความโง่กันเองอยู่หลายวัน(เป็นไปด้วยความถ้อยทีถ้อยอาศัยแม้จะเห็นต่าง)
และจากการพูดคุยกันก็มีคำถามยอดฮิตซึ่งผมเชื่อว่าทุกคนน่าจะเคยถูกตั้งคำถามแบบนี้มาแล้ว นั่นคือการถามว่าถ้าให้เลือกบุคคลที่ศรัทธานับถือมาพบปะพูดจาด้วย 5 คนจะเลือกใครบ้างเพราะเหตุใด (ไม่ว่าจะเป็นบุคคลที่มีชีวิตอยู่หรือเสียชีวิตไปแล้วแต่ขอยกเว้นในกรณีญาติพี่น้อง) ผมจึงได้ไอเดียมาโพสต์ต่อเพื่ออยากลองรับทราบความคิดเห็นของแต่ละคน และถ้าไม่เป็นการลำบากนักก็อยากให้ทุกท่านลองเชื้อเชิญคนอื่นๆมาช่วยกันโพสต์เพื่อจะได้เป็นการสำรวจความคิดและทัศนคติแรงบันดาลใจไปด้วยกัน
ขอบคุณครับ
อนารยชนโรแมนติก
คำตอบของผมครับ
1. พระพุทธเจ้า (ความอัศจรรย์ใจในความยิ่งใหญ่ของพระไตรปิฎก)2. sigmund freud (การค้นใจที่น่าพิศวง)3. แดนอรัญ แสงทอง (เงาสีขาวคือหนังสือที่อยู่กับผมเกือบทุกเวลา)4. ....................................5. ....................................ป.ล. ที่เว้นไว้คือยังค้นหาอยู่นะครับ

ความทรมานจากวิชาการที่ยากจะหยั่งถึง(ในมุมมองของคนนอนไม่หลับ)
ตั้งใจว่าจะหลับตอนตีสอง แต่ด้วยความขยัน(อย่างเสแสร้ง)จึงหยิบตำรามาอ่านอ้างอิงสักเล็กน้อยก่อนที่จะไปขอข้อมูลมาจัดเรียงเพื่อการวิเคราะห์ ก่อนที่จะเมล์ไปขอความเห็นจากอาจารย์ที่เชียงใหม่
แต่
กับดักทางวิชาการก็ค่อยๆเปิดเผยให้เห็นถึงความบกพร่องที่มีอยู่อย่างเลือดเย็น ความง่วงและความมั่นใจ(โง่โง่)ที่มีอยู่ก็ค่อยๆหายไปและยังไม่มีทีท่าว่าจะกลับมา
ในเวลานี้
ไม่ว่าจะแก้ไขขั้นตอนการทำงานอย่างไรทุกอย่างก็ดูบกพร่อง ปัญหาต่างๆก็เริ่มจะถาโถมเข้ามาทั้งที่วางแผนไว้ตอบโต้ จนต้องมาบ่นบ้าอย่างสัตว์งานทื่อทึ่มที่ไม่สามารถหลับตาพักผ่อนจากการงาน
ป.ล.
1. สถานการณ์บีบคั้นบังคับให้ผมต้องจบให้เร็วที่สุด(ภายในตุลาฯนี้)
2. ความมั่นใจโง่โง่ทำให้นอนไม่หลับ
3. บางที safety factor สูงสูงก็ไม่ช่วยอะไรเลย
4. ขอให้พรปีใหม่ในรูปเป็นพรวันใหม่ของทุกคน
วันแห่งความเบื่อหน่ายที่ยาวนาน (ขอบ่นบ้างเถอะ)วันนี้ตื่นมาด้วยอาการเบลอ แหกขี้ตาส่งแฟนไปบินแต่เช้า กลับมาหลับได้อีกนิดก็ต้องตื่นมาทำthesis
งง สับสน ทางเดินแห่งวิชาการ จะรีบเดินก็ไม่ได้ เดินช้าไปก็โดนก่นด่า (ทำไงได้ เข็มนาฬิกาของคนเฝ้ารอเดินเร็วกว่าของคนตั้งใจเสมอ)
ไม่อยากอยู่คนเดียวเลย 9 วันนี้คงมีเพียง internet และ text bookเ ป็นเพื่อน
ตอนนี้เป็นโรคประหลาด เบื่อคนที่ชอบสอดรู้สอดเห็นและขี้ประจบเหลือเกิน
ทำไมคนเราต้องชอบนินทาด้วย น่าเบื่อจริงๆ
ป.ล.อยากให้ทุกคนที่ผ่านมา ลองหาเพลง dust in the wind มาฟังครับ ฟังแล้วตัวเล็กดี
ขอให้ปวงท่านสุขสันต์
อนารยชนโรแมนติก
ในความเห็นของอนารยชนโรแมนติก
เมื่อเกิดคำถาม ความสงสัย ปัญหา หรือสิ่งใดที่ต้องมีการถกเถียง โต้แย้ง หรือเสนอความคิดเห็น สิ่งเหล่านี้จะเป็นที่มาของการใช้สติปัญญาโต้ตอบ ช่วยเหลือเพื่อทำให้ความไม่รู้หมดไป นั่นคือสิ่งดีแต่บางสิ่งที่แอบแฝงมาและไม่สามารถปฏิเสธได้คือการพยายามโอ้อวดสิ่งที่รู้และจุดยืนของตนโดยที่ไม่สนใจหรือดูถูกวิธีของผู้อื่น ดังนั้นสิ่งที่ตามมาคือการตีรวน หลงประเด็น เชือดเฉือน ปัญหาก็ไม่ได้สะสางและก่อเกิดปัญหาใหม่การวัดหยั่งสติปัญญาสามารถทำได้ด้วยสติปัญญาที่ถ่อมตนกว่าเท่านั้น